แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 39
1
Doctor At Home: หลอดเลือดแดงขาตีบ (Peripheral artery disease/PAD)

หลอดเลือดแดงขาตีบ (Peripheral artery disease/PAD)* ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis)

โรคนี้ส่วนใหญ่จะเริ่มพบได้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และยิ่งมีอายุมากขึ้นก็ยิ่งพบได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่สูบบุหรี่ มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคนี้

นอกจากนั้นอาจพบในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะอ้วน

มักพบร่วมกับโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดแดงตีบอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง ไตวายเรื้อรัง ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (องคชาตไม่แข็งตัว) เป็นต้น

*Peripheral artery disease/Peripheral arterial disease/PAD ซึ่งแปลว่า หลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบนั้น หมายถึง หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนหรือขาเกิดการตีบแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงแขนหรือขาไม่ได้
ภาวะนี้มักเกิดที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขา เรียกว่า "หลอดเลือดแดงขาตีบ"
ในบทนี้จึงขอกล่าวถึงเฉพาะเรื่อง "หลอดเลือดแดงขาตีบ"

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งจากการมีตะกรันไขมันเกาะที่ภายในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบลง เลือดไปเลี้ยงขาและปลายเท้าได้น้อยลง

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงขาแข็งและตีบที่สำคัญ ได้แก่ เบาหวาน การสูบบุหรี่ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ได้แก่ อายุ (มากกว่า 50 ปี) ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ ภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กก./ตร.ม.) ภาวะโฮโมซีสตีนในเลือดสูง (hyperhomocysteinemia) โรคไตเรื้อรัง มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (อัมพฤกษ์ อัมพาต)

โรคนี้ส่วนน้อยอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การฉายรังสี การบาดเจ็บที่ขา การอักเสบของหลอดเลือดแดงขา (ซึ่งอาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของ โรคหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ) เป็นต้น

นอกจากนี้ อาจเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่ขา เช่น กลุ่มอาการหลอดเลือดแดงขาพับถูกกดทับ (popliteal entrapment syndrome) ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นกดทับถูกหลอดเลือดแดงที่บริเวณขาพับ ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ค่อนข้างน้อย และพบได้ในคนอายุน้อยหรือวัยหนุ่มสาว


อาการ

ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดแดงขาตีบในระยะแรกอาจไม่มีอาการ ซึ่งตรวจพบได้จากการตรวจเช็กสุขภาพจากแพทย์

ผู้ป่วยจะแสดงอาการเมื่อมีการตีบของหลอดเลือด เกินร้อยละ 50

อาการเริ่มแรกที่พบบ่อย คือ ขาข้างที่ผิดปกติมีอาการปวดเวลาเดินไปได้สักพักหนึ่ง หรือเวลาเดินขึ้นบันได มักมีอาการปวดหน่วง ๆ ที่น่อง บางคนอาจปวดที่ต้นขาหรือสะโพกร่วมด้วย (ซึ่งขึ้นกับตำแหน่งที่ตีบตันของหลอดเลือด) อาการอาจเกิดที่ขาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างก็ได้

อาการปวดจะทุเลาได้เองเมื่อผู้ป่วยหยุดพักการเดินสัก 2-3 นาที แต่เมื่อเดินต่อสักพักก็จะกำเริบอีก หากยังฝืนเดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะปวดมากขึ้น จนอาจเดินขาลาก ทำให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องหยุดเดิน

ทั้งนี้เนื่องจากการเดิน กล้ามเนื้อขาต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้นจากขณะพัก (ไม่ได้เดิน) แต่เพราะหลอดเลือดแดงขาตีบ เลือดจึงไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขาได้พอกับความต้องการ เราเรียกอาการปวดขาในลักษณะนี้ว่า "อาการปวดขาเป็นระยะเพราะขาดเลือด (intermittent claudication)"

บางคนอาจไม่มีอาการปวดขาเป็นระยะดังกล่าว แต่อาจมีเพียงอาการหนักขา ขาไม่มีแรงหรือขาอ่อน ทำให้คิดว่าเป็นเพียงอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการเดิน หรือจากอายุที่มากขึ้น

บางรายอาจมีอาการเป็นตะคริวที่น่องบ่อย ซึ่งอาจเกิดขึ้นแม้แต่ในช่วงเข้านอนตอนกลางคืน

เมื่อหลอดเลือดแดงขาตีบมากขึ้น ก็จะมีอาการปวดขามากขึ้น เดินได้ระยะสั้นกว่าเดิมก็จะมีอาการปวด ทำให้ผู้ป่วยเดินได้ช้าลง หรือเดินไกลไม่ได้ มีผลทำให้ดำเนินชีวิตได้ไม่ปกติ หรือเล่นกีฬาที่ต้องเดินไม่ได้

หากปล่อยไว้จนมีการตีบของหลอดเลือดที่รุนแรง ก็จะมีอาการปวดขา แม้อยู่เฉย ๆ หรือเวลานอนราบหรือยกเท้าสูง อาจเป็นมากถึงขั้นนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ตามมา ได้แก่ ขาข้างที่เป็นมีอาการชาหรืออ่อนแรง ซีดกว่าปกติ หรือมีสีผิวเปลี่ยนไป คลำดูขาข้างที่เป็นรู้สึกเย็นกว่าปกติ ผิวหนังที่บริเวณขาดูมันวาวกว่าปกติ ขนและเล็บงอกช้ากว่าขาข้างที่ปกติ เกิดแผลที่ปลายเท้าเรื้อรังและหายยาก กล้ามเนื้อขาลีบลงกว่าปกติ ชีพจรที่ขาและเท้าของขาข้างที่เป็นคลำได้เบาหรือไม่ได้

ผู้ชายบางคนอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (องคชาตไม่แข็งตัว) ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบบ่อยคือ การเป็นแผลเรื้อรังที่ขา อาจเกิดการติดเชื้อ และกลายเป็นเนื้อตายเน่า (gangrene) ซึ่งอาจจำเป็นต้องตัดนิ้วเท้าหรือข้อเท้า เกิดความพิการได้ มักพบในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง

ผู้ป่วยมักมีภาวะหลอดเลือดแดงตีบที่อวัยวะอื่นร่วมด้วย หากปล่อยไว้ก็อาจเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา ที่สำคัญ ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (พบได้ประมาณร้อยละ 30-50 ของผู้ที่เป็นหลอดเลือดแดงขาตีบ) โรคหลอดเลือดสมอง (พบได้ประมาณร้อยละ 15-25 ของผู้ที่เป็นหลอดเลือดแดงขาตีบ) หลอดเลือดแดงไตตีบ (renal artery stenosis) ไตวายเรื้อรัง

ในรายที่มีการตีบของหลอดเลือดแดงขาที่รุนแรง อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงขาแทรกซ้อนอย่างเฉียบพลัน ทำให้ขาเกิดภาวะขาดเลือดอย่างรุนแรง เกิดภาวะที่เรียกว่า "Acute limb ischemia (ALI)" ขาข้างที่เป็นจะมีอาการปวด (ขณะพักอยู่เฉย ๆ) ซีด เย็น ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง และชีพจรเบา ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล และมีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการจากการตัดขา หรือการเสียชีวิต

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการและสิ่งตรวจพบ ได้แก่ การคลำชีพจรที่เท้าพบว่าเบาหรือคลำไม่ได้ เท้าซีดและเย็นกว่าปกติ กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง กล้ามเนื้อขาลีบลงกว่าปกติ แผลเรื้อรังที่เท้า

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจพิเศษ เช่น ทำการทดสอบด้วยการวัดความดันโลหิตที่เท้าเทียบกับที่ต้นแขน ดังที่เรียกว่า "Ankle-Brachial Index (ABI) Test" ซึ่งมักพบว่าความดันโลหิตที่เท้ามีค่าต่ำกว่าที่ต้นแขน (ค่า ABI < 0.90) มีค่ายิ่งต่ำ แสดงว่าโรคยิ่งรุนแรง, การตรวจวัดการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดแดงขาด้วยอัลตราซาวนด์ (Doppler ultrasound), การถ่ายภาพหลอดเลือด (angiography) ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, การตรวจเลือด (ดูระดับน้ำตาล ไขมัน) เป็นต้น

ในรายที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคไตเรื้อรัง เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้ยารักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง), ให้ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน, โคลพิโดเกรล (clopidogrel) ป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดจับเป็นลิ่มอุดตันหลอดเลือด, ให้ยาเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงขา (เช่น cilostazol ลดอาการปวดขาเป็นระยะเพราะขาดเลือด ช่วยให้เดินได้ระยะไกลขึ้น) เป็นต้น

นอกจากนี้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรม เช่น งดบุหรี่, ลดอาหารหวาน มัน เค็ม, ลดน้ำหนัก, ผ่อนคลายความเครียด, ออกกำลังกาย

แพทย์อาจแนะนำให้ออกกำลังด้วยการเดินวันละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน เดินด้วยความเร็วตามปกติ เมื่อสังเกตว่าเริ่มมีอาการปวดขาให้หยุดเดิน เมื่อรู้สึกทุเลาปวดให้เดินต่อ เดิน ๆ หยุด ๆ สลับกันจนครบ 30-45 นาที การเดินช่วยให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงขาได้มากขึ้น ทำให้เดินได้ไกลขึ้น

หากการรักษาข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจทำการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การผ่าตัดบายพาส (โดยใช้หลอดดำของผู้ป่วยเอง หรือหลอดเลือดเทียม), การทำบัลลูนและใส่หลอดเลือดตาข่าย (stent) ค้ำยันภายในหลอดเลือด, การฉีดยาละลายลิ่มเลือดเข้าไปในหลอดเลือดตรงจุดที่มีลิ่มเลือดอุดตัน

ผลการรักษา หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ก่อนมีอาการแสดง และไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองร่วมด้วยอย่างต่อเนื่อง มักได้ผลดี

แต่ถ้าได้รับการรักษาในระยะที่มีอาการ ผลการรักษาขึ้นกับสภาพของผู้ป่วย ในรายที่มีหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบร่วมด้วย ก็อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการหรือการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดขาเวลาเดินหรือขึ้นบันได เป็นตะคริวที่น่องบ่อย ปวดขาตอนนอนราบหรือตอนกลางคืน ขามีลักษณะซีด เย็น กล้ามเนื้อขาลีบหรืออ่อนแรง หรือคลำชีพจรที่เท้ามีลักษณะเบาหรือคลำไม่ได้ มีแผลเรื้อรังที่ขา เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

นอกจากนี้ เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบในระยะแรกมักจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ดังนั้น ผู้ที่สบายดี ไม่มีอาการปวดขาและอาการอื่นใด ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจกรองโรคนี้ ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอายุมากกว่า 65 ปี
    มีอายุมากกว่า 50 ปี ซึ่งป่วยเป็นเบาหวาน หรือสูบบุหรี่
    มีอายุน้อยกว่า 50  ปี ซึ่งป่วยเป็นเบาหวาน และมีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นต้น

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ข้อปฏิบัติตัว ที่สำคัญ ได้แก่ 

    งดบุหรี่
    ลดอาหารหวาน มัน เค็ม กินผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว เต้าหู้ ปลาให้มาก ๆ
    ลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักเกิน
    ผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกาย ด้วยการเดินให้มาก ๆ ตามวิธีที่แพทย์แนะนำ วันละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การรักษา" ด้านบน)
    หมั่นดูแลเท้าไม่ไห้เกิดแผล (เช่น ระมัดระวังในการตัดเล็บ สวมใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้า ระวังไม่ให้ถูกของมีคมบาด) เพราะหายยากเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง
    หลีกเลียงการซื้อยามาใช้เอง เนื่องเพราะยาบางชนิด เช่น กลุ่มสูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) ซึ่งนิยมใช้รักษาโรคหวัด คัดจมูก โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ อาจทำให้หลอดเลือดตีบมากขึ้น ปวดขามากขึ้นได้


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดขามากขึ้น
    ขามีลักษณะซีด เย็น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา หรือเป็นแผลเรื้อรัง
    มีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือแขนขาซีกหนึ่งมีอาการชาหรืออ่อนแรง
    ขาดยาหรือยาหาย
    สงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์ให้กิน เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ใจสั่น ท้องเดิน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

    ไม่สูบบุหรี่
    รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    ลดอาหารมัน หวาน เค็ม กินผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว เต้าหู้ ปลาให้มาก ๆ
    ถ้าเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ควรดูแลรักษาให้สามารถควบคุมโรคได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

1. ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบจะรู้สึกสบายดี ไม่มีอาการปวดขาและอาการผิดปกติอื่นใด จะมีอาการปวดขาเมื่อหลอดเลือดตีบมากแล้ว และอาจมีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบแฝงอยู่ร่วมด้วย (โดยไม่มีอาการ) ดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ ถึงแม้สบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจกรองโรค และรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. โรคนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "สาเหตุ" ด้านบน) ที่สำคัญ ได้แก่ การเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ การสูบบุหรี่ การมีอายุมาก ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และป่วยเป็นโรคเบาหวาน ร่วมกับการสูบบุหรี่ หรือความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากขึ้น ดังนั้น ควรป้องกันการเกิดโรคนี้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงให้มากที่สุด (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านบน)

3. โรคนี้มีความรุนแรงค่อนข้างมาก เนื่องเพราะมักตรวจพบเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดขาแล้ว และขามักมีภาวะขาดเลือดเรื้อรังมานาน มักทำให้เกิดแผลเรื้อรัง ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ถึงขั้นต้องตัดขา นอกจากนี้ อาจพบโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบร่วมด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุของความพิการหรือการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้

4. ผู้ที่มีอาการปวดขาหรือเป็นตะคริวบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง อย่าชะล่าใจว่าเป็นเพียงอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือไม่เป็นอะไรมาก แต่ควรไปปรึกษาแพทย์เพี่อตรวจให้แน่ใจว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบหรือไม่

2
mobile expo เปิดตัว “PICO 4 Ultra” สัมผัสเทคโนโลยี VR และ MR ในหนึ่งเดียว ยกระดับการทำงานและความบันเทิง ตอบโจทย์โลกเสมือนจริงที่คมชัดยิ่งกว่าเคย

PICO บริษัทเทคโนโลยี XR ที่มีชื่อเสียงด้านนวัตกรรมและการวิจัยระดับโลก เปิดตัว “PICO 4 Ultra” แว่น VR (Virtual Reality) และ MR (Mixed Reality) ครั้งแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นับเป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติเทคโนโลยี MR ยกระดับการใช้ชีวิตด้วยประสบการณ์เสมือนจริงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งภาพและเสียงครบทุกมิติ ปรับแต่งตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคลได้อย่างยอดเยี่ยม
ฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูง
PICO 4 Ultra มาพร้อมกล้อง VST ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล 2 ตัว พร้อมกล้องวัดระยะลึก iToF เพื่อมอบประสบการณ์ 3 มิติที่มีความคมชัดสูงอย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน
ออกแบบเพื่อการทำงานแบบมัลติทัสก์
PICO 4 Ultra นำเสนอคอนเซ็ปต์เวิร์กสเปซแบบพาโนรามาที่ครบวงจร ผู้ใช้งานสามารถเปิดหน้าต่างหลายรายการพร้อมกัน และจัดเรียงหน้าจอเสมือนขนาดใหญ่ภายในพื้นที่จริง การออกแบบนี้มุ่งเน้นยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานแบบมัลติทัสก์ที่สะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ PICO 4 Ultra ยังรองรับการทำงานของวิดีโอ 3 มิติแบบครบวงจร ตั้งแต่การถ่ายไปจนถึงการแสดงเนื้อหา ผู้ใช้งานจะได้สัมผัสประสบการณ์วิดีโอเสมือนจริงที่ลงตัว พร้อมสีสันคมชัดสมจริง


ประสิทธิภาพตรวจจับการเคลื่อนไหวเต็มตัว
PICO ได้เปิดตัวอุปกรณ์เสริมใหม่ "PICO Motion Trackers" ที่ช่วยตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมด โดยติดตั้งได้ง่ายที่ข้อเท้าของผู้ใช้งาน อุปกรณ์มีน้ำหนักเบาและสวมใส่สบาย ใช้ร่วมกับโซลูชันการติดตามแบบมัลติโหมดเอกสิทธิ์ของ PICO ทำให้สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของทั้งร่างกายได้อย่างแม่นยำด้วยความหน่วงสัญญาณต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันสื่อบันเทิงยอดนิยมอย่าง VRChat และ Tempo Club ได้อย่างลื่นไหล มอบประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้กับผู้ใช้งานทุกคน

การกำหนดค่าที่ครอบคลุมเพื่อประสบการณ์ MR รูปแบบใหม่
PICO 4 Ultra นำเสนอฟีเจอร์การใช้งานหลายหน้าต่างในเวิร์กสเปซแบบพาโนรามา ผู้ใช้สามารถปรับขนาดและจัดเรียงหน้าต่างของแอปพลิเคชันได้ตามอิสระในพื้นที่เสมือนจริงที่กว้างขวางไร้ขอบเขต ทำให้การทำงานแบบมัลติทัสก์จึงเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถสลับระหว่างโหมดภาพเสมือนจริงและผสานรวมกับสภาพแวดล้อมจริงได้อย่างง่ายดายเพียงคลิกเดียวที่แถบนำทางของระบบ PICO 4 Ultra ยังนำเสนออีโคซิสเต็มของแอป MR/VR ชั้นนำระดับโลก เพื่อมอบประสบการณ์ความบันเทิงทั้งภาพและเสียงที่เหนือชั้น

ฟีเจอร์ทั้งหมดใน PICO 4 Ultra ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยี MR อันทรงพลัง ประกอบด้วยเซนเซอร์ภาพทั้งหมด 7 ตัว โดยมีกล้องตรวจจับสภาพแวดล้อม 4 ตัวที่ติดตั้งรอบตัวอุปกรณ์ เพื่อใช้ในการสร้างแผนที่และระบุตำแหน่งพร้อมกัน (Simultaneous Localization and Mapping: SLAM) โดยทำงานร่วมกับกล้องสี 2 ตัวและกล้องวัดระยะลึก iToF 1 ตัว สำหรับจับภาพและการทำแผนที่ในพื้นที่สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชัน โดยกล้องสี 2 ตัวที่มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซลช่วยจับภาพความละเอียดสูง ซึ่งเมื่อผ่านการประมวลผลแล้ว ภาพดังกล่าวจะแสดงผลบนหน้าจอความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ระดับ 20.6 PPD นอกจานี้ PICO 4 Ultra ยังเสริมประสิทธิภาพในการลดความบิดเบี้ยวของภาพบริเวณขอบและลดภาพซ้อน ทำให้ได้ภาพสีคมชัดและมีการบิดเบี้ยวต่ำนอกจากนี้ กล้องวัดระยะลึก iToF สามารถวัดระยะได้อย่างแม่นยำในช่วง 3 เมตรในมุมกว้าง 60 องศา ซึ่งช่วยในการคำนวณระยะทางเชิงพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ PICO 4 Ultra


PICO 4 Ultra สร้างสภาพแวดล้อมเสมือนที่ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมจริงมากที่สุด ด้วยการผสานประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์และอัลกอริธึมการรับรู้สภาพแวดล้อมอันเป็นเอกสิทธิ์ของ PICO ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเป็นจริงผสม (MR) ที่ยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ PICO 4 Ultra ยังมาพร้อมกับหน้าจอ 4K+ Super Sense คุณภาพสูง ด้วยความละเอียดในการเรนเดอร์ภาพถึง 1920x1920 พิกเซล และอัตรารีเฟรชเรท 90Hz หน้าจอได้รับการเทียบสีจากโรงงานและมีความละเอียดสูงกว่ารุ่น PICO 4 ถึง 62% ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและสมจริงมากยิ่งขึ้น
PICO 4 Ultra ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มระดับเรือธงซีพียู Snapdragon® XR2 Gen 2 พร้อมหน่วยความจำขนาดใหญ่ถึง 12GB นับเป็นฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลัง สร้างสรรค์ประสบการณ์ MR ที่เหนือชั้นและสมจริงเกินคาด
ดีไซน์ของ PICO 4 Ultra ยังคงเน้นการออกแบบที่สมดุล ระหว่างความบางและเบา ตัวบอดี้ด้านหน้ามีน้ำหนักเพียง 304 กรัม และเบาะรองศีรษะด้านหลังเพียง 276 กรัม รวมทั้งหมดมีน้ำหนักเพียง 580 กรัม ทำให้สวมใส่สบายตลอดการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีคอนโทรลเลอร์รุ่นใหม่แบบไม่มีห่วงคล้องมือ ซึ่งช่วยลดน้ำหนักและความสูงของคอนโทรลเลอร์ได้อย่างมาก ทำให้ถือได้อย่างสบายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังติดตั้งมอเตอร์สั่นแนวราบเพื่อเพิ่มประสบการณ์การตอบสนองทางสัมผัสที่สมจริงและเต็มอารมณ์อีกด้วย

ปฏิวัติประสบการณ์วิดีโอเสมือนจริงด้วยประสิทธิภาพขั้นสูง
เมื่อเข้าสู่ยุคแห่งความบันเทิงแบบดิจิทัล ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการใช้วิดีโอเสมือนจริงในการบันทึกช่วงเวลาต่าง ๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น PICO 4 Ultra มาพร้อมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประสิทธิภาพเยี่ยม เพื่อยกระดับและรองรับการทำงาน ช่วยสร้างประสบการณ์วิดีโอเสมือนจริงที่ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ขั้นตอนการถ่ายทำไปจนถึงการแสดงเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกหรือการรับชมก็ทำได้อย่างสมจริง ทำให้คุณไม่พลาดทุกรายละเอียดในทุกช่วงเวลา
PICO 4 Ultra ใช้กล้อง RGB ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล 2 ตัวในการบันทึกวิดีโอเสมือนจริง โดยการจัดวางเลนส์จำลองการมองเห็นของมนุษย์ ในการถ่ายวิดีโอเสมือนจริงนั้นจะเว้นระยะห่างระหว่างเลนส์เพื่อจำลองการมองเห็นผ่านดวงตาทั้งสองข้าง ทำให้ผู้ใช้งานได้รับชมภาพ 3 มิติที่มีความลึกของพื้นที่อย่างสมจริง
นอกจากนี้ PICO 4 Ultra ยังสามารถถ่ายวิดีโอเสมือนจริงที่ความละเอียดสูงสุด 2048x1536 พิกเซล ด้วยรีเฟรชเรท 60FPS ทำให้สามารถบันทึกฉากแอ็กชันที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วได้อย่างลื่นไหลและเนียนตา
PICO 4 Ultra ยังทลายข้อจำกัดเรื่องการใช้งานอุปกรณ์ต่างแบรนด์ผู้ผลิต โดยรองรับการเล่นวิดีโอและภาพถ่ายเสมือนจริงจากอุปกรณ์ Apple ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงภาพและวิดีโอที่ถ่ายด้วย iPhone 15 Pro series และ Vision Pro ซึ่งผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดเนื้อหาเหล่านี้ไปยังแกลเลอรีของ PICO 4 Ultra และรับชมได้ทันที ทำให้การเชื่อมต่อและการใช้งานอุปกรณ์ต่างแบรนด์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอคุณภาพสูงหรือภาพถ่ายสุดประทับใจ คุณก็สามารถรับชมได้อย่างเต็มอิ่มในโลกเสมือนจริง

รองรับแอปพลิเคชันและประสบการณ์ MR ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
PICO 4 Ultra สามารถใช้งานกับแอปพลิเคชัน MR และ VR ชั้นนำระดับโลกได้มากมาย ปัจจุบันรองรับแอป MR กว่า 20 แอป และแอป VR กว่า 778 แอป ซึ่งรวมถึงเกมกว่า 552 เกม และแอปอื่น ๆ อีกมากมาย ครอบคลุมทั้งความบันเทิงด้านภาพและเสียง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในหลากหลายด้าน
อีโคซิสเต็มการเล่นเกมที่ยอดเยี่ยมของ PICO 4 Ultra ยังครอบคลุมประสบการณ์การเล่นเกมทุกรูปแบบ ตั้งแต่เกมปริศนาสำหรับการเล่นเพลิน ๆ ไปจนถึงเกมเชิงกลยุทธ์ระดับฮาร์ดคอร์ อุปกรณ์นี้ยังสามารถทำงานร่วมกับ SteamVR  ทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนเนื้อหาเกมจากพีซีไปยัง PICO 4 Ultra เพื่อขยายคลังเกมไปยัง SteamVR นับพันรายการ ผู้ใช้งานจึงสามารถเพลิดเพลินกับกราฟิกเกมที่คมชัดระดับ 3K ที่รองรับไฟล์แบบ AV1 CODEC ได้
ฟีเจอร์ PICO Connect ยังได้รับการอัปเกรดเพื่อลดความหน่วงสัญญาณในการสตรีมลดลงถึง 30% เมื่อใช้ร่วมกับเราเตอร์ Wi-Fi 7 นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อหน้าจอกับ PC, Mac หรือสมาร์ตโฟนได้ อย่างราบรื่น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับใช้งานระหว่างอุปกรณ์ แชร์หน้าจอ และควบคุมจากระยะไกลได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสามารถนี้ PICO 4 Ultra กลายเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์อันทรงพลัง ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงาน ความบันเทิง และการเล่นเกมในเครื่องเดียว

PICO 4 Ultra เปิดตัวพร้อมอุปกรณ์เสริม PICO Motion Trackers

ยกระดับประสบการณ์ MR ที่สมจริงอย่างน่าประทับใจ
ภายในงานเปิดตัว PICO 4 Ultra ยังมีการเปิดตัว PICO Motion Trackers อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวรุ่นแรกของบริษัท เพียงแค่ติดตั้งที่ข้อเท้า ก็สามารถจับการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ทั้งหมด ตัวอุปกรณ์มีน้ำหนักเพียง 38.5 กรัม (รวมตัวติดตามและฐาน) และใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 25 ชั่วโมง ด้วยการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ที่จุดสัมผัส ทำให้ PICO Motion Trackers สวมใส่สบายแม้ในกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหนัก เช่น การออกกำลังกายหรือการเต้น
เมื่อเปิดใช้งาน PICO Motion Trackers จะจับคู่สัญญาณกับเฮดเซ็ท PICO โดยอัตโนมัติ ซึ่งการกำหนดความแม่นยำด้วยระบบ One-Glance Calibration ของ PICO ถือว่าทำได้ง่ายที่สุดในอุตสาหกรรม ผู้ใช้งานเพียงแค่ยืนและมองลงไปที่อุปกรณ์ก็สามารถปรับเทียบความแม่นยำได้อย่างง่ายดายและเข้าถึงการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากจะสวมใส่สบายและใช้งานง่าย PICO Motion Trackers ยังมีความสามารถในการตรวจจับที่ยอดเยี่ยม ผสานการทำงานของหน่วยตรวจวัดความเคลื่อนไหวภายใน (IMU) และแสงอินฟราเรด พร้อมระบบสนับสนุนด้านออปติคอลเพื่อการตรวจจับที่แม่นยำและเสถียรมากขึ้น ทำงานร่วมกับโปรโตคอลการส่งข้อมูลเฉพาะที่ช่วยลดความหน่วงสัญญาณและเพิ่มความต้านทานการรบกวน ทำให้การตรวจจับมีความแม่นยำสูง แอ็กชันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกจริงจะถูกซิงค์กับโลกเสมือนจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากจะสวมใส่สบายและใช้งานง่าย PICO Motion Trackers ยังมาพร้อมกับความสามารถในการตรวจจับที่ยอดเยี่ยม ด้วยการผสานการทำงานของหน่วยตรวจวัดความเคลื่อนไหวภายใน (IMU) และแสงอินฟราเรด พร้อมระบบสนับสนุนด้านออปติคอลเพื่อการตรวจจับที่แม่นยำและเสถียรมากขึ้น PICO Motion Trackers ทำงานร่วมกับโปรโตคอลการส่งข้อมูลเฉพาะที่ช่วยลดความหน่วงสัญญาณและเพิ่มความต้านทานการรบกวน ทำให้การตรวจจับมีความแม่นยำสูง แอ็กชันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกจริงจะถูกซิงค์กับโลกเสมือนจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

PICO Motion Trackers เข้าถึงอีโคซิสเต็มของแอปพลิเคชันที่หลากหลาย รองรับเกมยอดนิยมอย่าง VRChat และ Tempo Club ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมสตรีมที่ครอบคลุมมากขึ้นผ่านการสตรีมทางพีซี นอกจากนี้ PICO Motion Trackers ยังไม่เพียงใช้งานร่วมกับ PICO 4 Ultra ได้เท่านั้น แต่ยังรองรับรุ่น PICO 4 ทำให้ผู้ใช้งานปัจจุบันสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์ MR ที่สมจริงในเวอร์ชันใหม่ล่าสุด ด้วยประสิทธิภาพการตรวจจับการเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบ

PICO 4 Ultra มีน้ำหนักเพียง 580 กรัม มาพร้อมการออกแบบที่สมดุลทั้งส่วนหน้าและหลัง เพื่อให้ผู้ใช้งานสวมใส่ง่าย กระชับ และสบายที่สุด ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Snapdragon® XR2 Gen 2 พร้อมขุมพลังหน่วยความจำมากถึง 12GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB เป็นพื้นฐานฮาร์ดแวร์ที่มอบประสบการณ์ MR ได้อย่างไร้ที่ติ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้อง 32 ล้านพิกเซล 2 ตัว และกล้องวัดระยะลึก iToF ที่มอบประสบการณ์ภาพสีสันสดใสอย่างยอดเยี่ยม พร้อมคอนโทรลเลอร์ระบบสั่นแบบไม่มีห่วงคล้องมือที่มีขนาดเล็กลงและจับถนัดมือมากขึ้น และเมื่อใช้งานร่วมกับ PICO Motion Trackers จะยกระดับขีดความสามารถเสมือนจริงเต็มรูปแบบแก่ผู้ใช้งานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ราคาและการวางจำหน่าย PICO 4 Ultra และ PICO Motion Trackers ในประเทศไทยประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดย PICO 4 Ultra เปิดตัวในราคา 19,990 บาท และ PICO Motion Trackers ราคา 2,990 บาท

พบกับโปรโมชั่น PRE-SALE สุดคุ้ม! มอบความคุ้มค่าสูงสุดเมื่อสั่งจอง PICO 4 Ultra และ PICO Motion Trackers ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 5-8 กันยายน 2567 ผ่านร้านค้าและแพลตฟอร์มที่ร่วมรายการได้แก่

o ช่องทางออนไลน์ – สั่งจองล่วงหน้า PICO 4 Ultra ในราคาเพียง 18,990 บาท รับฟรี! PICO Motion Trackers (จำนวนจำกัด) เฉพาะทาง Shopee
o ศูนย์จำหน่าย – สั่งจองล่วงหน้า PICO 4 Ultra ในราคา 19,990 บาท รับฟรี แพ็กเกจของแถมสุดคุ้มทั้ง PICO Motion Tracker, PICO Carry Case และ Game Bundle รวมมูลค่า 3,000 บาท ที่ PICO Zone เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลเวสต์เกต, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เมกา บางนา, Com7, Dot.life, Speed Gaming และร้านค้าที่ร่วมรายการ

PROMOTION 9.9 ตั้งแต่วันที่ 9-11 กันยายน 2567 เฉพาะทาง Shopee, Lazada และ TikTokShop
• แพ็คเกจ 1 - ซื้อชุด Standalone Pack เฉพาะตัวเครื่อง PICO 4 Ultra ในราคาเพียง 17,990 บาท
• แพ็คเกจ 2 - ซื้อชุด Bundle Pack ได้ทั้ง PICO 4 Ultra และPICO Motion Tracker ในราคา 19,980 บาท
ตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 15 กันยายนนี้ เพื่อฉลองการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เมื่อซื้อ PICO 4 Ultra ในราคา 19,990 บาท รับฟรี! เซ็ตของขวัญพรีเมียม ประกอบด้วย PICO Motion Tracker, PICO Mini Suitcase และ Game Bundle รวมมูลค่า 2,000 บาท ที่ PICO Zone เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลเวสต์เกต, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เมกา บางนา, Com7, Dot.life, Speed Gaming และร้านค้าที่ร่วมรายการ
PICO 4 Ultra Enterprise: โซลูชันปรับแต่งการทำงานเพื่อสร้างนวัตกรรมธุรกิจ

PICO มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมศักยภาพให้กับภาคธุรกิจด้วยเทคโนโลยี MR ส่วนในด้านฮาร์ดแวร์ PICO นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถตั้งค่าและระดับประสิทธิภาพได้อย่างหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของนักพัฒนาซอฟต์แวร์และลูกค้าทั่วไป และในด้านซอฟต์แวร์ PICO มีชุดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาแบบครบวงจร ที่ช่วยในการสร้างประสบการณ์เนื้อหาระดับโลกด้วยเทคโนโลยีความจริงขยาย XR (Extended Reality) การผนวกรวมกันของเทคโนโลยีเสมือนจริงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ PICO ได้เปิดตัว PICO 4 Ultra Enterprise ซึ่งเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาสำหรับภาคธุรกิจหลัก เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา การฝึกอบรม และความบันเทิงนอกบ้าน

3
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 (CKD)

โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวะที่การทำงานของไตลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป และอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้ในผู้ป่วยบางราย โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ eGFR ของคุณอยู่ระหว่าง 30-59 ค้นหาอาการ ทางเลือกการรักษา และวิธีจัดการกับโรคไตในระยะนี้

โรคไตเรื้อรัง แบ่งออกเป็น 5 ระยะตามการทำงานของไตว่ามีเลือดหรือโปรตีนในปัสสาวะหรือไม่

ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 ไตของคุณได้รับความเสียหายในระดับปานกลาง ดังนั้นจึงไม่สามารถกรองเกลือและสารพิษได้อย่างเหมาะสม และอาจเกิดปัญหาในการรักษาสมดุลของของเหลวได้

ระยะนี้แบ่งออกเป็นสองระยะย่อย ขึ้นอยู่กับระดับการทำงานของไต ได้แก่ CKD ระยะ 3a และ CKD ระยะ 3b แต่จะไม่มีผลต่อการรักษาผู้ป่วย

ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 แพทย์จะติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่ามีโปรตีนในปัสสาวะหรือไม่ เนื่องจากโปรตีนในปริมาณที่มากขึ้นอาจหมายถึงความเสี่ยงที่โรคไตเรื้อรังจะพัฒนามากขึ้นและจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม

อาการของโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3

 โรคไตเรื้อรังเป็นภาวะเงียบเนื่องจากไม่แสดงอาการใด ๆ ในช่วงระยะแรก อาการและอาการแสดงแรกมักเริ่มปรากฏในระยะที่ 3 หรือหลังจากนั้น เมื่อการทำงานของไตลดลงจะนำไปสู่การสะสมของสารพิษและของเหลวในร่างกาย

อาการของโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 มีดังนี้

    ความเหนื่อยล้า
    อาการมือเท้าบวม
    ปัสสาวะเปลี่ยนสีหรือปริมาตรเปลี่ยนไป
    ปวดกล้ามเนื้อ
    อาการคัน
    เบื่ออาหาร

อาการเหล่านี้อาจไม่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่จะค่อยๆปรากฏขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยตามการดำเนินไปของโรคไตเรื้อรัง อย่างไรก็ตามควรสังเกตอาการที่อาจจะเกิดเหล่านี้ตามระยะของโรคไตเรื้อรัง

แพทย์จะทำการตรวจเลือดและปัสสาวะเป็นประจำเพื่อประเมินระยะของโรคไตวายเรื้อรังรวมถึงประเมินความเสี่ยงการพัฒนาของโรค


การรักษาโรคไตระยะที่ 3

การรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อชะลอลุกลามของโรคแและเพื่อจัดการปัญหาที่เกิดจากการทำงานของไตที่ลดลง

ยาเช่นยาในกลุ่ม Angiotensin-converting (ACE) inhibitors กลุ่ม Angiotensin-receptor blockers (ARBs) และกลุ่ม sodium-glucose cotransporter-2 (SGLT-2) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสียหายของไตเพิ่มเติมและชะลอการลุกลามของโรคไตวายเรื้อรัง สำหรับการรักษาอื่น ๆ และการเปลี่ยนแปลงอาหารอาจจำเป็นสำหรับหากผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เกิดจากโรคไตวายเรื้อรัง เช่น ภาวะโลหิตจาง  หรือภาวะระดับเกลือในเลือดสูง อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้ยังไม่จำเป็นต้องฟอกไต


การจัดการโรคไตระยะที่ 3

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 ผู้ป่วยอาจต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางอย่าง และต้องปรึกษาแพทย์เพื่อจัดการอาการที่อาจเกิดขึ้นอย่างเหมาะสม โดยในระยะนี้ แพทย์ประจำของผู้ป่วยอาจส่งต่อผู้ป่วยให้ไปอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านไตหรือที่เรียกว่าอายุรแพทย์โรคไต เพื่อดูแลผู้ป่วยในระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่จำเป็นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละคน โดยทั่วไปทีมแพทย์จะแนะนำผู้ป่วยให้มีการปรับเปลี่ยนในเรื่อของอาหารให้เหมาะสม อีกทั้งจะแนะนำให้ผู้ป่วยการออกกำลังกายในระดับปานกลาง การเลิกสูบบุหรี่ และจำกัดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควมคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อาหาร

อาหารเป็นส่วนสำคัญในดูแลผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากไตมีหน้าที่กรองสารพิษและของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย ดังนั้นอาหารที่บริโภคจะส่งผลต่อการทำงานของไต เมื่อไตเกิดความเสื่อม จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนอาหารให้เหมาะสม

สำหรับโรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 ความต้องการทางโภชนาการจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การได้รับคำแนะนำจากนักกำหนดอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยสร้างแผนการรับประทานอาหารที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล


การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก็เช่นกัน การออกกำลังกายเป็นประจำยังช่วยจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความดันโลหิต และเบาหวาน เมื่อเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 คุณจะสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติอย่างเช่นที่เคยก่อนได้รับการวินิจฉัย ถึงแม้ว่าผู้ป่วยเพิ่งเริ่มออกกำลังกายเป็นกิจวัตรก็เช่นกัน ทั้งนี้ผู้ป่วยควรปรึกษาเกี่ยวกับกิจวัตรการออกกำลังกายกับทีมแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของทีมแพทย์


การติดตามอาการโรคไตเรื้อรัง

การตรวจสอบสุขภาพของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์ประจำตัวผู้ป่วยจะเป็นผู้คอยติดตามสภาวะต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน และผู้ป่วยจะพบแพทย์โรคไตเป็นระยะ ๆ เพื่อประเมินการพัฒนาของโรคไต

การพยากรณ์โรคไตระยะที่ 3

ในโรคไตระยะที่ 3 ไตจะมีการเสื่อมในระดับปานกลาง และการทำงานของไตจะลดลง การรักษาอาจมีประสิทธิภาพในการชะลอการลุกลามของโรคไตวายเรื้อรังและจัดการปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ในระยะที่ 3 ยังค่อนข้างห่างไกลจากภาวะไตวาย และการวินิจฉัยในระยะนี้สามารถช่วยลดการลุกลามของโรคได้ เนื่องจากผู้จะเริ่มรับการรักษา และมีการเฝ้าติดตามการลุกลามของโรค ดังนั้นเป็นไปได้ที่ผู้ป่วยจะคงอยู่ในระยะที่ 3 เป็นเวลาหลายปีโดยที่โรคไตเรื้อรังไม่ดำเนินไปสู่โรคไตระยะสุดท้าย

4
เครื่องมือกันฟันล้ม กับ การเข้ารับการจัดฟันเด็ก แบบไหนดีกว่ากัน

 สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะดูแลเอาใจใส่ หรือถ้าหากเด็กมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน พ่อแม่ก็ควรที่จะพาเด็กเข้ารับการรักษาทันที เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานๆ อาจจะทำให้เกิดปัญหาลุกลาม จนถึงขั้นสูญเสียฟันไปได้ และการที่เด็กสูญเสียฟันไป อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันอื่นๆได้เช่น การฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง ฟันล้ม ซึ่งปัญหาการฟันห่าง ฟันล้มนั้น

สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก และอีกวิธีหนึ่งก็คือ การสวมใส่เครื่องมือกันฟันล้ม ซึ่งก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันล้มได้เช่นเดียวกัน ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเครื่องมือกันฟันล้มและการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ว่าแบบไหนดีกว่ากัน เพราะทั้งสองอย่างนี้ สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กก่อนซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันในเด็ก หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า  การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณี และช่วยส่งเสริมในเรื่องของหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยปรับตำแหน่งโครงสร้างของใบหน้า หรือช่วยในเรื่องของรูปร่างฟัน

และสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อาบุ 4-15 ปี ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับช่วงอายุและปัญหาของแต่ละคน ที่ทันตแพทย์จะพิจารณาว่าจะเข้ารับการจัดฟันในรูปแบบใด ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น ก็ถือว่าได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

 สำหรับเครื่องมือการฟันล้ม ซึ่งเครื่องมือกันฟันล้มสำหรับเด็กมี 2 ประเภทนั่นก็คือ แบบถอดได้ เครื่องมือคงสภาพชนิดที่สามารถใส่และถอดมาทำความสะอาดได้เอง และอีกแบบหนึ่งก็คือ เครื่องมือกันฟันล้มแบบติดแน่น เครื่องมือคงสภาพชนิดติดแน่นซึ่งไม่สามารถถอดเครื่องมือออกเองได้ โดยเครื่องมือกันฟันล้มนั้น

สามารถช่วยรักษาช่องว่าง ช่วยให้ฟันแท้ขึ้นได้และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ป้องกันปัญหาฟันเกหรือฟันขึ้นผิดที่ได้ แต่ถ้าหากเด็กมีปัญหาและไม่ใส่เครื่องมือกันฟันล้ม ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น จะทำให้ฟันล้มเอียงมาทางช่องว่างนั้น ทำให้ฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่ง ทำให้เกิดปัญหาฟันซ้อนเกทำให้สูญเสียความสวยงาม

รวมไปถึงอาจจะเกิดกระดูกเบ้าฟันหนาตัว มีผลให้ฟันแท้ที่อยู่ข้างใต้ขึ้นช้ากว่าปกติ สำหรับลักษณะของเครื่องมือกันฟันล้ม เป็นวงแหวนสีเงินสวมลงบนฟัน และมีลวดเล็กๆดัดโค้งมาแตะฟันซี่ด้านหน้าเพื่อค้ำยันไว้ไม่ให้ฟันขยับเข้าหากัน อาจเป็นเพียงชิ้นเล็กๆหรือเป็นแบบสองข้างซ้ายขวา ขึ้นกับจำนวนและตำแหน่งฟันน้ำนมที่ถูกถอนไป

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งเครื่องมือกันฟันล้มและการจัดฟันในเด็ก ถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน เราก็จะต้องมาดูในเรื่องของปัญหาของแต่ะคนก่อน เพราะทั้งสองแบบก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน แต่ถ้าหากเรื่องของแก้ไขปัญหาในเรื่องของฟันในเด็กโดยตรงควรพาเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้หลากหลายกรณี และสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาวด้วย

อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กหรือสวมใส่เครื่องมือกันฟันล้ม ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทันตกรรมในเด็ก มีประสบการณ์ด้านการจัดฟันในเด็กมาอย่างยาวนาน

จึงสามารถให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น การที่เด็กมีสุขภาพฟันที่ดีนั้น จะสามารถช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการของเด็กได้ด้วย และจะทำให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุขมากยิ่งขึ้น

เพราะเราอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่เด็กจะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ เพื่อที่จะได้มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น

5
motor show 2025: เนต้า Neta-X 480 Smart-ปี 2024
799,000 บาท

เนต้า Neta-X 480 Smart-ปี 2024
NETA X 408 Smart รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV ชูจุดเด่นภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย 80% ของพื้นที่ห้องโดยสารเป็นวัสดุบุนุ่ม หน้าจอระบบสัมผัส ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน มาพร้อมแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออนขนาด 62 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC)

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Neta
   รุ่น                  เนต้า Neta-X 480 Smart-ปี 2024
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว           2024
   ราคา              799,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ล้ออัลลอย (18 นิ้ว)
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ
ขนาดยางหน้า-หลัง (225/60R18)
ไฟ Daytime Running Lights
ไฟหน้า (ระบบเปิดปิดไฟสูงอัตโนมัติิ HBA)
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบพิเศษ (แบบอัตโนมัติ)
ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ (LED)

   ภายใน
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (3 รปแบบ (Eco/Comfort/Sport))
พวงมาลัยไฟฟ้า
ม่านบังแดด (ไฟฟ้า)
พวงมาลัยหุ้มหนัง (สังเคราะห์พรีเมียม)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์ (ด้านหน้า/ท้ายรถ)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า
Permanent Magnet Synchronous Motor กำลัง 163 แรงม้า แรงบิด 210 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 150 กม/ชม อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม ใน 9.5 วินาที ช่องอัดประจุ CCS2 AC 6.6 กิโลวัตต์, DC 100 กิโลวัตต์
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)

แรงม้า
   ระบบเกียร์           เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์         ไฟฟ้า
   ระบบเบรค ABS    มี
   ชนิดแบตเตอรี่      ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่     51.8 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง        480 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC)
   น้ำหนักตัวรถ                          -
   ประเภทยางรถยนต์                  -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                      ล้ออัลลอย (18 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                     ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย
อุปกรณ์ความปลอดภัย  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESC,ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS)
ตัวถังนิรภัย (HSS Body)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค (ปลดล๊อหประตูอัตโนมัติกรณีเกิดอุบัติเหตุ)
กุญแจรีโมท
กุญแจนิรภัย (Immobilizer)
ไฟเบรกดวงที่ 3 (LED)
สัญญาณเตือนถอยหลัง
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (,ระบบช่วยเบรก)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง)
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้าแบบรั้งตัวและดึงกลับอัตโนมัติ,แถวหลังแบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HHC/ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA)
เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor - IAVM)
เบรกมือไฟฟ้า (EPB)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX)
ADAS ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง (ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน,ระบบช่วยเปลี่ยนเลนพร้อมตรวจจุดอับสายตา,ระบบแจ้งเตือนประตูเปิด,ระบบจดจำป้ายจราจร,ระบบจำลองเสมือนจริง)



6
"รีไฟแนนซ์บ้าน" ดี-ไม่ดี ยังไง?...มาดูกัน!!

การรีไฟแนนซ์ (Refinance) คือการเปลี่ยนเจ้าหนี้ จากผู้ให้สินเชื่อเดิมเพื่อไปขอกู้จากผู้ให้สินเชื่อรายอื่นแทน เหตุผลที่คนส่วนใหญ่มักรีไฟแนนซ์คือ ผู้ให้สินเชื่อรายใหม่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า หรือมีเงื่อนไขด้านอื่นๆ ที่จูงใจกว่าที่เดิม เช่น ให้เวลาผ่อนชำระยาวนานกว่า

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ คือ ความคุ้มค่า
โดยเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงว่าจะช่วยให้เราประหยัดได้มากกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรีไฟแนนซ์หรือไม่ เช่น

ค่าจดจำนองหลักประกัน
ค่าใช้จ่ายในการประเมินมูลค่าหลักประกัน
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำประกัน
ค่าปรับให้แก่เจ้าหนี้เก่า ในกรณีที่ยุติการกู้ก่อนระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา
ตัวอย่างการประมาณการเพื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ เพื่อประเมินเบื้องต้น ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์
ตัวอย่าง นาย ก ได้กู้เงินซื้อบ้านจากธนาคาร A เป็นเงิน 2,200,000 บาท โดยกู้มาแล้ว 2 ปี ขณะที่เงินต้นคงเหลือ 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่เดิมคือ 7% โดยนาย ก กำลังตัดสินใจว่าจะรีไฟแนนซ์ไปธนาคาร B ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (ให้สันนิษฐานว่าหลังจากหมดโปรโมชั่นแล้ว จะใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินเดิม) แต่นาย ก ต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 3% ของยอดคงค้าง เพราะเพิ่งจะกู้ไม่ถึง 3 ปี

เมื่อคำนวณแล้ว การรีไฟแนนซ์ตามตัวอย่างนี้จะประหยัดเงินได้ประมาณ 240,000 - 84,000 = 156,000 บาท (ดูรายละเอียดในตารางด้านล่างนี้นะคะ)
หากพบว่าต้องเสียเวลาในการดำเนินการมาก แต่ช่วยประหยัดเงินได้นิดเดียว การใช้บริการผู้ให้สินเชื่อเดิมก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้*   ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์*

ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ x จำนวนปีที่ได้โปรโมชั่น
อัตราดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ = อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้สถาบันการเงินเดิม - อัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินแห่งใหม่ที่จะรีไฟแนนซ์
จำนวนปีที่ได้โปรโมชั่น = จำนวนปีที่สถาบันการเงินแห่งใหม่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าสถาบันการเงินเดิม

จากตัวอย่าง คำนวณได้ดังนี้
ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ (ประมาณ)
= 2,000,000 x (7 - 3)/100 x 3 = 240,000 บาท

ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ (ประมาณ)
= 2,000,000 x (7 - 3)/100 x 3 = 240,000 บาท   ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แก่หน่วยงานราชการ
ค่าจดจำนองหลักประกัน (1% ของวงเงินจำนอง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท)
ค่าอากรแสตมป์ (0.05% ของวงเงินกู้ แต่ไม่เกิน 10,000 บาท)

ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แก่สถาบันการเงินแห่งใหม่
ค่าประเมินหลักประกัน

ค่าปรับที่ต้องจ่ายให้แก่สถาบันการเงินเดิม
เช่น ถ้าผ่อนส่งยังไม่ครบจำนวนปีที่กำหนดก็จะต้องจ่ายค่าปรับ เช่น 3% จากเงินต้นคงค้าง ทั้งนี้ แต่ละสถาบันการเงินอาจกำหนดค่าใช้จ่าย และค่าปรับไว้แตกต่างกัน เราจึงต้องสอบถาม เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

จากตัวอย่าง คำนวณได้ดังนี้
ค่าจดจำนองบ้าน = 20,000 บาท (2,000,000 x 1 / 100)
ค่าอากรแสตมป์ = 1,000 บาท (2,000,000 x 0.05 / 100)
ค่าประเมินหลักประกัน (ประมาณ = 3,000 บาท
ค่าปรับ = 60,000 บาท (2,000,000 x 3 / 100)

ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น = 84,000 บาท

7
สร้างรายได้ จากการขายข้าวผัดปูหอมกลิ่นกระทะ ข้าวร่วน เนื้อปูไม่เละ อาหารจานเดียวทำง่ายอร่อยเด็ด

ข้าวผัดปูเป็นอาหารจานเดียวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยมีส่วนประกอบหลักคือข้าวสวย เนื้อปู ไข่ และผักต่าง ๆ เช่น ต้นหอมและแครอท ข้าวผัดปูมีรสชาติอร่อยกลมกล่อมและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงทำให้เป็นเมนูโปรดของคนรักอาหารทะเล เมนูที่เรียบง่ายแต่แสนอร่อยนี้ผสมผสานข้าวหอมมะลิและเครื่องปรุงรสเข้าด้วยกันเพื่อสร้างมื้ออาหารที่แสนสบายและน่าพึงพอใจ

ส่วนผสมที่สำคัญ
เคล็ดลับของข้าวผัดปูที่อร่อยอยู่ที่คุณภาพของวัตถุดิบ:
ข้าวหอมมะลิ – จะอร่อยที่สุดเมื่อหุงแล้วทิ้งไว้ให้เย็นก่อนทอด เพราะจะทำให้มีเนื้อนุ่มฟู
เนื้อปู – ปูที่สด หวาน และนุ่มนวลเพิ่มรสชาติอาหารทะเลที่เข้มข้น
ไข่ – ให้เนื้อครีมและเสริมรสชาติให้กับจานอาหาร
กระเทียม – เพิ่มความหอมเมื่อผัด
ซีอิ๊วและน้ำปลา – เครื่องปรุงรสหลักที่ดึงรสชาติอูมามิออกมา
ต้นหอมและผักชี – เพิ่มความสดชื่นและมีชีวิตชีวา
มะนาวและแตงกวา – เสิร์ฟเป็นเครื่องเคียงเพื่อเพิ่มความสดชื่นและความสมดุล

วิธีทำข้าวผัดปู
เตรียมข้าว – ใช้ข้าวหอมมะลิเก่า 1 วันเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวเละ
ผัดกระเทียม – ตั้งกระทะหรือกระทะจีนใส่น้ำมันแล้วผัดกระเทียมจนหอม
ปรุงไข่ – ย้ายกระเทียมไปไว้ด้านหนึ่ง ตอกไข่ลงไป แล้วคนเบาๆ
ใส่เนื้อปู – ใส่เนื้อปูลงไปแล้วผสมให้เข้ากัน
ผัดข้าว – ใส่ข้าวและผัดด้วยไฟแรงเพื่อผสมทุกอย่างเข้ากัน
ปรุงรสจาน – เพิ่มซีอิ๊วขาว น้ำปลา และพริกไทยขาวเล็กน้อยเพื่อรสชาติ
ปิดท้ายด้วยสมุนไพร – ผสมต้นหอมสับและผักชีเพื่อความรู้สึกสดชื่น
เสิร์ฟพร้อมเครื่องปรุง – จัดข้าวผัดใส่จานและเสิร์ฟพร้อมมะนาวฝานเป็นแว่นและแตงกวาหั่นเป็นแว่น

ทำไมคุณถึงต้องหลงรักข้าวผัดปู
รวดเร็วและง่ายดาย – ใช้เวลาเตรียมเพียงไม่กี่นาที ทำให้เป็นมื้ออาหารที่สมบูรณ์แบบสำหรับวันยุ่งๆ
รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอม – การผสมผสานกันของกระเทียม ซอสถั่วเหลือง และปูสดทำให้เกิดรสชาติที่น่ารับประทานอย่างยิ่ง
มีคุณค่าทางโภชนาการ – เนื้อปูเป็นแหล่งโปรตีนและวิตามินที่จำเป็นอย่างยิ่ง

ข้าวผัดปูเป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติอาหารไทยและอาหารทะเล ไม่ว่าคุณจะทำอาหารเองที่บ้านหรือสั่งอาหารจากร้านอาหาร ลองชิมและเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารไทยในทุกคำ


8
ศูนย์การค้าไม่ติดฉนวนกันความร้อน เสี่ยงเดือดร้อนเรื่องอะไรบ้าง

“ฉนวนกันความร้อน” ถือเป็นหนึ่งในวัสดุที่สำคัญมากสำหรับทุกอุตสาหกรรม แต่ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนอาจมองว่ามีแค่เฉพาะโรงงานที่มีเครื่องจักรอุณหภูมิสูงเท่านั้น ที่ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อน

ซึ่งในความเป็นจริง ความร้อนที่จะเข้าสะสมภายในพื้นที่นั้น ไม่ได้เกิดจากแค่เครื่องจักรอย่างเดียว แต่ยังมาได้จากแสงแดดภายนอก และระบบปรับอากาศภายในสถานที่ด้วย อย่างเช่นศูนย์การค้าต่าง ๆ ที่ต้องใช้ระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีความร้อนเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จึงทำให้หากศูนย์การค้าไม่ติดตั้งฉนวนกันความร้อน ก็จะเกิดปัญหาตามมาภายหลังทำให้เดือดร้อนได้

4 ปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดได้ เมื่อศูนย์การค้าไม่ติดตั้งฉนวนกันความร้อน

เมื่อไรก็ตามที่ปล่อยศูนย์การค้า หรือ ออฟฟิศขนาดใหญ่ที่ต้องเปิดระบบปรับอากาศตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้ให้ความพิถีพิถันใส่ใจกับารติดตั้งฉนวนกันความร้อนคุณภาพแล้ว เมื่อนั้นก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหลัก ๆ ตามมาได้ ดังต่อไปนี้


1.สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ

เมื่อระบบปรับอากาศทำงานหนักแน่นอนว่าความร้อนที่เกิดขึ้นสะสมในระบบปรับอากาศก็จะมีมากขึ้น และจะค่อย ๆ แพร่กระจายออกไปยังส่วนต่าง ๆ ของทุกพื้นที่ ซึ่งทุกคนแทบไม่รู้สึกสังเกตุได้ เพราะอยู่ท่ามกลางความเย็นที่ระบบปรับอากาศผลิตออกมา

แต่ทั้งนี้ ความร้อนสะสมทั้งจะระบบปรับอากาศ และจากอุณหภูมิภายนอก ก็จะส่งผลทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างทำงานหนักขึ้น จนนำไปสู่การสูญเสียพลังงานครั้งใหญ่ และกลายเป็นค่าไฟที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและกำไรหดหายลดลงในที่สุด ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกที ก็อาจต้องสูญเสียต้นทุนไปอย่างมากมายมหาศาลแล้วก็ได้


2.อากาศภายในพื้นที่อาจเป็นพิษได้

หลายคนคงงงว่าไม่ติดฉนวนกันความร้อนจะทำให้อากาศเป็นพิษได้อย่างไร คำตอบคือเพราะระบบปรับอากาศมีหน้าที่ทำความเย็น ซึ่งเมื่อความเย็นปะทะกับความร้อนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือการควบแน่นและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำที่ท่อระบบปรับอากาศ

ซึ่งหากไม่ได้มีการติดฉนวนกันความร้อนที่ลดการควบแน่นเอาไว้ ท่อระบบปรับอากาศก็จะมีเชื้อรา สนิม และพุกร่อนเสื่อมได้ง่าย กลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคร้ายที่สุดท้ายก็อาจจะแพร่กระจายเข้าไปตามท่อระบบปรับอากาศทำให้ผู้คนภายในพื้นที่สูดหายใจเอาเข้าสู่ร่างกายไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้สุขอนามัยของทั้งคนทำงาน หรือผู้เข้าใช้บริการในพื้นที่เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้


3.เสียงดังรบกวนภายในพื้นที่

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการทำงานของระบบปรับอากาศนั้นทำให้เกิดเสียงดัง ขนาดแค่กับเครื่องปรับอากาศในบ้านบางทีก็ยังทำให้นอนไม่หลับได้ ทำให้เมื่อเทียบกับระบบปรับอากาศในห้างสรรพสินค้า หรืออาคารสถานที่ใหญ่ ๆ แล้ว แน่นอนว่าเสียงจะยิ่งดังมากกว่าหลายเท่า

ซึ่งหากไม่ได้มีการวางแผนติดฉนวนกันความร้อนให้กับระบบปรับอากาศไว้เลย ก็จะทำให้เกิดเสียงดังรบกวนมาก จนอาจทำให้พนักงาน ผู้ใช้บริการ เกิดความรำคาญหงุดหงิดใจ และได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการเข้ามาใช้บริการได้ จนนำไปสู่ผลเสียเรื่องความเชื่อมั่นไม่อยากมาเดินห้างในที่สุด


4.เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้อาจเสี่ยงเสียหายครั้งใหญ่

ฉนวนกันความร้อนที่ดี ไม่ได้เพียงแค่ช่วยป้องกันการสะสมความร้อนภายในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสียหายจากเหตุไม่คาดฝันอย่างอัคคีภัยได้ด้วย เพราะฉนวนกันความร้อนคุณภาพ อาทิ ฉนวนกันความร้อน จะได้รับการทดสอบมาแล้วว่าเป็นวัสดุไม่ลุกติดไฟ ไม่ลามไฟ ผ่านมาตรฐาน ASTM E84 และ BS476 จึงไม่เป็นชนวนก่อเหตุเพลิงไหม้ หรือหากมีอัคคีภัยเกิดขึ้น ฉนวนกันความร้อนที่ติดไว้ ก็จะช่วยลดความรุนแรง ลดการลุกลามของเปลวเพลิง ทำให้ความสูญเสียถูกบรรเทาเบาบางลงได้
ฉนวนกันความร้อน

ในความเป็นจริงแล้วนอกจากระบบปรับอากาศ ก็ยังมีบริเวณอื่น ๆ อีกในห้างสรรพสินค้า หรืออาคารสถานที่ขนาดใหญ่ที่ควรต้องติดตั้งฉนวนกันความร้อน อาทิ หลังคา ท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ถ้ามี เป็นต้น

ซึ่งการลงทุนติดตั้งฉนวนกันความร้อนนั้น แม้จะใช้งบประมาณในการดำเนินการไม่น้อย ซึ่งแปรผันตามพื้นที่ที่ติด โดยยิ่งพื้นที่ขนาดใหญ่เท่าไร ก็ต้องใช้งบประมาณ ปริมาณฉนวนกันความร้อนมากเท่านั้น แต่ก็ยังถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอยู่ดี เมื่อเทียบกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในหลาย ๆ มิติ

9
ความผิดปกติของฟันในเด็กแบบไหนที่ควรจัดฟันเด็ก
 
สุขภาพช่องปากและฟันสำหรับเด็ก เป็นสุขอนามัยเบื้องต้นที่เด็กจะต้องฝึกดูแลรักษาความสะอาด ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยแนะนำและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของเด็กให้เด็กได้เข้าใจและแปรงฟันอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย การที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และช่วยในเรื่องของพัฒนาการของเด็กด้วย เพราะถ้าเด็กมีสุขภาพฟันที่ดี


เด็กก็จะมีสุขอนามัยที่ดี สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เช่นการบดเคี้ยวอาหาร ก็จะส่งผลทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเต็มที่ ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีด้วย อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม และสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันให้เด็ก จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆ
เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว


จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก เพื่อที่จะได้ให้เด็กฝึกการแปรงฟันอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันฟันผุ เพราะถ้าหากเด็กเกิดฟันผุ ก็จะส่งผลเสียไปถึงอนาคตได้ ที่สำคัญที่สุดพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตฟันของเด็ก ถ้าหากเด็กมีปัญหาก็ควรที่จะพาเด็กเข้ารับการรักษาหรือเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหา แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาฟันของเด็กแบบไหนที่เหมาะที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงปัญหาฟันในเด็กที่เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟัน เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการพาเด็กเข้ารับการจัดฟัน เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง
 
การเกิดฟันผุในเด็กนั้น หรือปัญหาที่มีความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟัน ต้องบอกว่า หลายปัญหาอาจลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น อาการฟันสบคร่อม ที่ฟันล่างสบคร่อมทับฟันบน ในเด็กหากทิ้งไว้ไม่รักษา ขากรรไกรอาจมีขนาดผิดปกติ ทำให้ใบหน้าเว้า หน้าเบี้ยว และอาจทำให้เกิดความผิดปกติ ที่ข้อต่อขากรรไกรได้ รวมไปถึงถ้าหากเด็กมีภาวะฟันแท้หาย หรือขึ้นไม่ครบ ควรพามาพบทันตแพทย์จัดฟัน เพราะอาจช่วยดึงฟันที่ฝังให้งอกขึ้นมาได้


เด็กจะได้ไม่ต้องเป็นคนฟันหลอ หรือไม่ต้องใส่ฟันปลอม ไม่ต้องใส่รากฟันเทียม ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้ามารักษาด้วยการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี ถ้าหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว สำหรับในแง่ของปัญหาฟันในเด็กที่เหมาะสมที่ควรเข้ารับการจัดฟันก็มีสัญญาณบ่งบอกที่บอกว่าควรเข้ารับการจัดฟัน เพราะในวัยเด็ก เป็นวัยที่เหมาะสมเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติ คือ ปัญหาฟันหน้ายื่น ปัญหาการที่ฟันสบกันผิดปกติ ฟันซ้อน ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันน้ำนมหลุดเร็วเกินไป หรือหลุดช้าเกินไป หรือต้องเสียฟันน้ำนมแบบไม่ปกติ


ฟันหรือลักษณะขากรรไกร ดูผิดสัดส่วน เด็กยังติดการดูดนิ้วจนอายุเกิน 5 ปี มีอาการกัดหรือบดเคี้ยวอาหารลำบาก เด็กชอบหายใจทางปาก นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติที่ควรที่จะเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหา หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้ปัญหาที่มีอยู่เกิดความรุนแรงขึ้นได้ และอาจจะส่งผลต่อฟันบริเวณใกล้เคียงด้วย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันเป็นประจำและถ้าหากมีสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันทันที เพื่อเข้ารับการแก้ไข


 อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กและเข้าปรึกษากับทันตแพทย์จัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแทพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก รวมไปถึงมีประสบการณ์ยาวนานด้านการจัดฟัน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง และแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย ลดปัญหาการเกิดความผิดปกติของช่องปากและฟัน เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่

10
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


11
ปล่อยรถราคาพิเศษ MITSUBISHI XPANDER 1.5 GT ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

มิตซูบิชิ Mitsubishi Xpander GT ปี 2018
All New Xpander รุ่น GT นิยามใหม่ของ Crossover ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยถ่ายทอดความแข็งแกร่งและแรงบันดาลใจเพื่อสร้างเซกเมนต์ใหม่ ด้วยการผสานสมรรถนะอันแข็งแกร่งแบบรถ Crossover เข้ากับความอเนกประสงค์ในการใช้งานที่หลากหลาย และจากการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนารถอเนกประสงค์ Xpander มีความสูงจากพื้นมากกว่ารถยนต์ในกลุ่มเดียวกันที่ 205 มม. (ในรุ่น GT) ด้านดีไซน์ล้ำสมัยด้วยเอกลักษณ์การออกแบบ Advanced 'Dynamic Shield' ไฟหรี่เป็น Crystal LED ไฟหน้าเป็นมัลติรีเฟลกเตอร์แบบฮาโลเจน

All New Xpander รุ่น GT มีความกว้างสบายจากห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ สามารถปรับเบาะที่นั่งได้อย่างอเนกประสงค์ รองรับการใช้งานได้อย่างดี เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งกุญแจอัจฉริยะ, แผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลัง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, หน้าจอแสดงผลข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว

All New Xpander รุ่น GT ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อลูมินัมอัลลอยเบนซิน รหัส 4A91 ขนาด 1.5 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว ให้กำลัง 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อ Xpander


หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 21 มี.ค. - 31 มี.ค. 2568
ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.29%, ยอดจัดไม่เกิน 3-6 แสน,ผ่อนสูงสุด 84 เดือน
ค่าดำเนินการแคมเปญ 20,000 บาท (รวมในยอดจัดได้)

ราคาพิเศษ 639,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                     4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว
ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      1,499 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   105 แรงม้า
ระบบเกียร์                     เกียร์ออโต้ 4AT
รูปแบบเกียร์                   พร้อมระบบ INC (Idle Neutral Control)
ระบบเบรค ABS               มี
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง      เบนซิน 95,เบนซิน 91,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),แก๊สโซฮอล์ 91,เบนซิน E20

ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)       N/A
ระบบจ่ายน้ำมัน               หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ECI-MULTI 32 Bit

น้ำหนักตัวรถ                       -
ประเภทยางรถยนต์                -
ขนาดล้อ (นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน              ขับเคลื่อนล้อหน้า


12
ซ่อมบำรุงอาคาร: การเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยของเราเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีสมาชิกในบ้านที่ขี้ร้อนด้วย เครื่องปรับอากาศ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป้นเป็นอย่างมาก และคงจะต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยก็คือการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอ


เพื่อให้อยู่ทนอยู่นานให้คุณได้ใช้ประโยชน์ในระยะยาว จะได้ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่อยู่บ่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน แอร์อินเวอร์เตอร์ ก็เป็นระบบเครื่องปรับอากาศที่ยังคงมาแรง และแทบทุกบ้านในปัจจุบันนิยมติดตั้งเพื่อให้ความเย็นภายในบ้าน ซึ่งมีจุดเด่นคือ มอเตอร์ทำงานเงียบ เย็นเร็ว ประหยัดพลังงานด้วย เป็นระบบมอเตอร์กระแสตรง หรือคอมเพรสเซอร์แบบสวิง ไม่มีช่องว่างระหว่างแกนหมุน


ทำให้ลดแรงเสียดทานขณะหมุนได้ จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างเต็มที่ เพราะคอมเพรสเซอร์สตาร์ทครั้งเดียวและจะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีลดรอบการทำงาน เมื่ออุณหภูมิคงที่ รอบคอมเพรสเซอร์จะต่ำ ส่งผลให้เสียงเงียบ และไม่มีเสียงสตาร์ทของตัวมอเตอร์ระหว่างการทำงาน แล้วเราจะเลือกแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้เราได้ประหยัดพลังงานมากที่สุด วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
 
ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของระบบแอร์อินเวอร์เตอร์กับแอร์แบบทั่วไปก่อนว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งความแตกต่างของ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ และแอร์ทั่วไปคือ การทำงานของ ระบบ Inverter เมื่อเริ่มเปิดแอร์ อุณหภูมิของแอร์จะค่อย ๆ ลดลง จนถึงระดับที่ตั้งไว้ แล้วตัวคอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงาน เพื่อให้อุณหภูมิภายในห้องมีความคงที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะแตกต่างจากแอร์ทั่วไป ที่เมื่อเปิดแอร์แล้ว อุณหภูมิของแอร์จะลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา และเมื่อใช้งานได้สักระยะ ระบบคอมเพรสเซอร์แอร์จะตัดการทำงาน ส่งผลให้อุณภูมิค่อย ๆ ปรับระดับสูงขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา แล้วระบบคอมเพรสเซอร์จะเริ่มตัดอีกครั้ง
 
ซึ่งการที่คอมเพรสเซอร์แอร์ตัดอยู่ตลอดเวลานั้นส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องไม่คงที่นั่นเอง สำหรับเคล็ดลับการเลือกใช้แอร์อินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมก็คือ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานตลอดเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องหลายชั่วโมง เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือต้องการห้องที่มีอุณหภูมิที่สม่ำเสมอและเงียบสงบ การใช้แอร์ที่ไม่มีอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องการความเย็นตลอดเวลา ประหยัด และมักนิยมใช้ขณะที่ต้องเข้ามาใช้ห้องเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในระยะยาวระบบอินเวอร์เตอร์


ย่อมมีผลดีกว่าระบบเดิมๆ อย่างมากเพราะเป็นระบบที่มีเสียงเงียบ มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิได้คงที่มากกว่า อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การทำความสะอาดด้วย ไม่ใช่เป็นที่ระบบแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น หากยังต้องการประหยัด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ให้สิ้นเปลือง


ตราบใดที่ยังคงใช้งานแอร์ระบบเดิมได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า แอร์ อินเวอร์เตอร์จะมีข้อดีในการใช้งาน แต่ก็มีข้อเสียที่เราจะต้องศึกษาก่อนการเลือกซื้อ หรืออาจจะต้องปรึกษาช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะด้วยระบบการทำงานภายในที่ซับซ้อน จึงทำให้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีราคาที่สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป รวมถึงการดูแลบำรุงรักษาก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทางเรา อยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


นอกจากนี้ เรายังมีบริการระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบการจัดการน้ำ ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ งานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง รวมไปถึงระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด เพื่อให้ลูกค้าได้มีความสะดวกสบายในการบำรุงรักษาระบบต่างๆภายในอาคารบ้านเรือน มั่นใจได้เลยว่า บริการของเรานั้น ดำเนินงานโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างแน่นอน

13
หมอออนไลน์: ฝีเต้านม (Breast abscess)

ฝีเต้านม เป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราวในผู้หญิงที่ให้นมบุตรในระยะเดือนแรก ๆ

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบ่อย ได้แก่ สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส ซึ่งจะเข้าไปในเต้านมโดยผ่านทางหัวนมที่ปริหรือแตก ทำให้เกิดเต้านมอักเสบ (mastitis) แล้วไม่ได้รักษาก็จะกลายเป็นฝีเต้านม

การมีนมคัดหรือมีน้ำค้างอุดอยู่ในท่อน้ำนม เนื่องจากทารกดูดไม่หมด เป็นปัจจัยเสริมให้เกิดการติดเชื้ออักเสบได้ง่าย


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เต้านมจะมีลักษณะบวมแดงร้อนและปวดมาก และต่อมน้ำเหลืองที่ใต้รักแร้ข้างเดียวกับเต้านมข้างที่เป็นฝีจะโตและเจ็บร่วมด้วย ถ้าหากปล่อยไว้บางครั้งฝีอาจแตกและมีหนองไหล


ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษาให้ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจทำให้เชื้อลุกลามเข้ากระแสเลือดกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจพบรอยโรคที่เข้าลักษณะของฝีเต้านม (ตรวจพบไข้ และเต้านมมีลักษณะบวมแดงร้อนและกดเจ็บ)

หากไม่แน่ใจแพทย์จะทำการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ และอาจนำน้ำนมหรือหนองไปตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการเจาะดูดหนองหรือผ่าระบายหนองออก และให้ยาปฏิชีวนะ

หากมีไข้สูง หรือมีอาการรุนแรง แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ทำการผ่าระบายหนอง และให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งในช่วงแรกจะให้ทางหลอดเลือดดำ) ให้น้ำเกลือ และให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้แก้ปวด)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดเต้านมมาก และเต้านมมีลักษณะบวมแดงร้อน คลำได้ก้อนฝีที่เต้านม ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นฝีเต้านม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้าน มีอาการไข้กำเริบใหม่ เต้านมข้างที่เป็นฝีมีอาการปวดมากขึ้นหรือบวมแดงร้อนมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ป้องกันไม่ให้เต้านมอักเสบ โดยปฏิบัติตัว ดังนี้

    หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ และรักษาความสะอาดหัวนมก่อนและหลังให้ทารกดูดนม
    ป้อนนมลูกเป็นเวลาบ่อย ๆ
    ให้ทารกดูดนมทั้ง 2 ข้างพอ ๆ กัน โดยดูดนมให้หมดข้างหนึ่งก่อนค่อยสลับข้าง หากไม่หมดควรใช้นิ้วรีดนมหรือใช้อุปกรณ์ปั๊มนมออกให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้นมคัดหรือมีนมค้างอุดอยู่ในท่อน้ำนม
    หมั่นเปลี่ยนท่าการให้นมแต่ละครั้ง และจัดท่าให้ทารกดูดนมได้ถนัด
    หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าและเสื้อชั้นในที่คับหรือบีบรัดเกินไป

2. ถ้าสงสัยเต้านมอักเสบ หรือเต้านมมีอาการปวด บวม แดงร้อน ควรรีบไปพบแพทย์ตรวจรักษา หากปล่อยไว้อาจทำให้เป็นฝีเต้านมแทรกซ้อนได้


ข้อแนะนำ

เมื่อมีก้อนที่เต้านม หากเกิดจากการอักเสบเป็นฝี มักมีอาการไข้ หนาวสั่น และก้อนเต้านมจะมีลักษณะะปวดมาก และออกแดงร้อน กดถูกเจ็บ

แต่ถ้ามีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ไม่มีอาการปวดแดงร้อน กดถูกไม่เจ็บ มักจะเป็นก้อนเนื้องอกหรือมะเร็งเต้านม

อย่างไรก็ตาม หากคลำได้ก้อนที่เต้านม ไม่ว่าจะมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์



14
รถยนต์ไฟฟ้า MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV แฮทช์แบ็คไฮบริดคันไหนดี?

เราทราบกันแล้วว่า All New MG3 Hybrid+ เปิดตัวและเผยราคาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว คู่แข่งโดยตรงของรถคันนี้คงหนีไม่พ้น Honda City Hatchback e:HEV ซึ่งเป็นรถท้ายตัดขุมพลังไฮบริดเหมือนกัน ก่อน งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2024 ปลายปีนี้จะมาถึง เรามาดูกันก่อนว่าทั้ง 2 รุ่น นั้นมีจุดดีจุดด้อยต่างกันอย่างไร

 ด้วยราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 559,900 - 599,900 บาท ทำให้ MG3 Hybrid+ ได้เปรียบ City Hatchback e:HEV ซึ่งมีราคา 729,000 - 799,000 บาทอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคันนี้มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันไป มาลองเทียบกันดูว่าคันไหนจะเหมาะคุณมากกว่ากัน

 MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
ราคา All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HE

 ราคา All New MG3 Hybrid+
All New MG3 Hybrid+ รุ่น D ราคา 559,900 บาท
All New MG3 Hybrid+ รุ่น X ราคา 599,900 บาท
เป็นราคาพิเศษเฉพาะ 1,000 คันแรกเท่านั้น จากนั้นจะปรับขึ้นเป็น 579,900 - 619,900 บาท

 ราคา Honda City Hatchback e:HEV
Honda City Hatchback e:HEV SV ราคา 729,000 บาท
Honda City Hatchback e:HEV RS ราคา 799,000 บาท

มิติตัวถัง All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV

 มิติตัวถัง   All New MG3 Hybrid+   Honda City Hatchback e:HEV
ความยาว (มม.)   4,113   4,369
ความกว้าง (มม.)   1,797   1,748
ความสูง (มม.)   1,502   1,501
ระยะฐานล้อ (มม.)   2,570   2,589
Honda City Hatchback e:HEV

ดีไซน์ภายนอกของ MG3 Hybrid+ ผสานระหว่างความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว ดีไซน์ไฟหน้าแบบใหม่ Hunter Eye Headlamp หรือ ดวงตานักล่า ที่ดูโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบรอบตัวถังเน้นความโค้งมนตามแบบฉบับของเอ็มจี

  ออพชั่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ไฟหน้า LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ (ในรุ่น X) พร้อม DRL, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (ในรุ่น X) และใบปัดน้ำฝนด้านหลัง และยังมาพร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้วทุกรุ่นย่อย

 สีตัวถังมีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีแดง (Scarlet Red) สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) และสีเทา (Metal Ash Grey) จับคู่กับเบาะสีดำ ในรุ่น D ทั้งยังมีสีให้เลือกเพิ่มเติม คือ สีฟ้า (ST. Moritz Blue) และ สีเหลือง (Pastel Yellow) ในรุ่น X

 ห้องโดยสารของรถคันนี้ออกแบบภายใต้แนวคิด Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ มาในสีทูโทนขาวสลับดำ (รุ่น X) และสีดำล้วน (รุ่น D) เน้นความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอย เน้นพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา (Leg room)

 เมื่อเข้าห้องโดยสารเราจะเห็นฟังก์ชั่นการใช้งานของรถ เริ่มที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง, มาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว, หน้าจอกลางรองรับระบบสัมผัส 10.25 นิ้ว และรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, เบาะนั่งคู่หน้าปรับมือ, เบรคมือไฟฟ้า EPB พร้อม AVH (Auto Vehicle Hold) รวมถึงระบบปรับอากาศแบบดิจิทัลพร้อมกรองอากาศ PM 2.5

 นอกจากนี้ MG3 Hybrid+ ยังมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ระบบเสียงลำโพง 6 ตำแหน่ง, ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start รวมถึงช่องใส่ของภายในห้องโดยสาร 25 จุด

 MG3 Hybrid+ มีเบาะหลังที่พับได้แบบ 60:40 ความจุห้องสัมภาระอยู่ที่ 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร

 ภายนอก Honda City Hatchback e:HEV

 สำหรับ Honda City Hatchback e:HEV ปีนี้คือโฉมไมเนอร์เชนจ์แล้ว โดยยังคงหน้าตาคล้ายโฉมก่อน และปรับออพชั่นให้น่าใช้มากยิ่งขึ้นทั้งภายนอกภายใน รวมถึงเพิ่มรุ่นย่อย SV เข้ามาสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

 ออพชั่นภายนอกที่โดดเด่น ได้แก่

 ไฟหน้า LED (ในรุ่น RS) และโปรเจคเตอร์ (รุ่น SV) ไฟ DRL แบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ, ไฟตัดหมอก LED (รุ่น RS)
ไฟท้าย LED
กระจังหน้าลายรังผึ้งตกแต่งด้วยสีดำเงา (รุ่น RS) และโครเมียม (รุ่น SV)
ระบบปัดน้ำฝนหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (รุ่น RS)
ล้ออัลลอย 16 นิ้วสีดำแบบสปอร์ต (RS) และสีทูโทน (SV)

 สีภายนอกมีให้เลือก 6 สี ได้แก่
สีขาวมุก Platinum White Pearl (เพิ่ม 10,000 บาท)
สีเทา Sonic Grey Pearl (เพิ่ม 6,000 บาท)
สีเทา Meteoroid Grey Metallic
สีดำมุก Crystal Black Pearl (เพิ่ม 6,000 บาท)
สีแดง Ignite Red Metallic
สีน้ำเงิน Brilliant Sporty Blue

  สำหรับดีไซน์ภายในของ City Hatchback e:HEV ไม่มีอะไรที่หวือหวานัก มีการจัดเรียงฟังก์ชันต่าง ๆ เหมือนรถยนต์ทั่วไป เริ่มที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย, เบาะหนังผสมหนังสังเคราะห์, มาตรวัดพร้อมจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว, จอกลางขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

 ออพชั่นที่น่าสนใจ ได้แก่ เบรคมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold, ช่องแอร์ผู้โดยสารด้านหลัง, ช่องเชื่อมต่อและชาร์จ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง หลัง 2 ตำแหน่ง, ลำโพง 8 ตำแหน่ง (RS) และ 4 ตำแหน่ง (SV), เชื่อมต่อ Honda CONNECT (RS)

  แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคู่แข่งคันอื่น ๆ คือเบาะหลังแบบ Ultra Seat ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้งาน นอกจากการพับ 60:40 ที่เรียบไปกับพื้นห้องสัมภาระแล้ว เบาะรองนั่งยังสามารถพับยกขึ้นเพื่อบรรทุกของที่มีความสูงได้ หรือปรับเบาะหน้าเอนเชื่อมต่อกับเบาะหลังเพื่อนอนยาวได้

 เครื่องยนต์ไฮบริด MG3 Hybrid+
เครื่องยนต์ของ MG3 Hybrid+
ขุมพลัง All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV

 เครื่องยนต์ MG3 Hybrid+

 MG3 Hybrid+ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว DVVT กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (PS) แรงบิด 128 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร

 พละกำลังรวมสูงสุดทั้งระบบอยู่ที่ 194 แรงม้า(PS) (143 kW) แรงบิด 250 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion (NMC) ความจุ 1.83 kWh จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-AT 3 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า

 เครื่องยนต์ Honda City Hatchback e:HEV

 เครื่องยนต์รหัส LEB8 เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมหัวฉีด PGM-FI ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า(PS) แรงบิด 127 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 แรงม้า(PS) แรงบิด 253 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.0 kWh จับคู่ระบบส่งกำลังแบบ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า

  ขุมพลังของ MG และ Honda ให้ทั้งอัตราเร่งที่ดี แถมให้ความประหยัดในระดับ 20+ กิโลเมตร/ลิตร ได้สบาย ๆ แต่ดูเหมือนว่าระบบไฮบริดของ MG จะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย เพราะมาพร้อมเกียร์ 3 สปีดซึ่งจะให้ความเร็วปลายไหลไปได้ดีกว่า

ความปลอดภัย All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV

 ความปลอดภัย MG3 Hybrid+

 MG3 Hybrid+ มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่หรือ ADAS พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)

 ระบบความปลอดภัยพื้นฐานมีดังนี้
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
ระบบ ABS/EBD/EBA/TCS
ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
ระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)
ส่วนระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) จะมีในรุ่น X ซึ่งเป็นรุ่นท็อปเท่านั้น ดังนี้
กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)
ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning)

 ระบบความปลอดภัย Honda City Hatchback e:HEV

 ความปลอดภัย Honda City Hatchback e:HEV

 Honda City Hatchback e:HEV มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานดังนี้
ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (RS) และ 4 ตำแหน่ง (SV)
ระบบ ABS/EBD/VSA
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS
ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็ว Auto Door Lock by Speed
ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า
ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)   
ระบบสัญญาณกันขโมย
ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
กล้องมองหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ
จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

 ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Honda SENSING ได้แก่
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam
ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch (RS)
ระบบเตือน และ ช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDM
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS
ระบบเตือนการชนรถ และ คนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control ACC with LSF Low Speed Following
ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN

 เรียกได้ว่า ทั้ง MG และ Honda มีระบบความปลอดภัยที่สูสีกันเลย โดยทั้งสองคันไม่มีระบบเตือนจุดบอดด้านข้างหรือ Blind Spot Monitoring แต่อย่างใด โดย MG มีเพียงกล้องรอบคัน 360 องศา (ในรุ่น X) และ Honda มีเพียง Honda LaneWatch (ในรุ่น RS) เพื่อช่วยในการสอดส่องจุดบอดเท่านั้น

 สรุป MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
สรุป: เลือก MG ที่คุ้มค่ากว่า หรือเพิ่มเงินไป Honda เพื่อความสบายใจ

 สำหรับ All New MG3 Hybrid+ ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ Honda City Hatchback e:HEV ด้วยความสามารถที่มีรอบด้าน นอกจากออพชั่นและราคาที่คุ้มค่าเหนือรถญี่ปุ่นแล้ว ในครั้งนี้ MG3 Hybrid+ ปรับปรุงสมรรถนะเครื่องยนต์ไฮบริดให้ต่อกรกับค่ายญี่ปุ่นได้อย่างสูสีกินกันไม่ลง ทำให้หลายคนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว

 MG3 Hybrid+ อาจเสียเปรียบ City Hatchback e:HEV ตรงชื่อชั้นที่ยังไม่ยาวนานพอจนคนส่วนใหญ่ไว้ใจ บวกกับชื่อเสียงบริการหลังการขายที่หลายคนยังตั้งคำถาม ทำให้แบรนด์เจ้าตลาดอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

  แต่ไม่ใช่ว่า Honda จะมีดีแค่ชื่อเสียงของแบรนด์ นอกจากสมรรถนะการขับขี่ ความปลอดภัยที่ครบครันแล้ว ยังโดดเด่นในเรื่องประโยชน์ใช้สอยที่มีอย่าง Ultra Seat ซึ่งใครที่จำเป็นต้องใช้จะต้องชื่นชอบแน่นอน

 จึงสรุปได้ว่า หากใครที่ต้องการความสดใหม่ สมรรถนะ และความคุ้มค่า คงต้องเลือก MG3 Hybrid+ ส่วนใครยังต้องการความสบายใจ ประโยชน์ใช้สอย และมีออพชั่นครบครันไม่แพ้กันก็เลือก Honda City Hatchback e:HEV ได้เลย

15
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ



หน้า: [1] 2 3 ... 39
โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี google ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google